ขั้นตอนการทำแผนธุรกิจในทางปฏิบัติ 4. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (environmental analysis) สภาพแวดล้อมที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่เป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมในที่นี้หมายถึง ปัจจัยแวดล้อมด้านเศรษฐกิจสังคมและการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ธุรกิจนี้อยู่นั้นเป็นอย่างไร เมื่อศึกษาเสร็จแล้วควรจะทำให้เห็นภาพพจน์ด้วยว่าสภาพแวดล้อมเหล่านั้นมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร ในทิศทางบวกหรือลบ ความรุนแรงจะมีมากน้อยและจะมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจเพียงใด ดังนั้นความน่าเชื่อถือของการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมจึงขึ้นอยู่กับการรวบรวมข้อมูลที่จัดหามาได้ ซึ่งถ้าข้อมูลมีน้อยเกินไป การตัดสินใจอาจมีความผิดพลาดได้ อันนี้เปรียบเหมือนการทำการรบ ซึ่งควรจะมีข้อมูลด้านชัยภูมิที่ตั้ง รวมทั้งคู่แข่งขันให้มากพอเพื่อจะนำไปใช้วางแผน หรือกำหนดกลยุทธ์ในการรบต่อไป เข้าตำราของซุนวูที่ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” นั่นเอง |
เมื่อพิจารณาถึงการศึกษา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ชนชั้นกลางแตกต่างจากแรงงานโดยทั่วไป เพราะเป็นแรงงานที่ใช้ ”สมอง” มากกว่า “แรงกาย” ก็จะพบว่าการศึกษาของไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับเช่นกัน จากการที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีขีดความสามารถในการผลิตบัณฑิตเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากสถิติจำนวนนักศึกษาที่จดทะเบียนเรียนในระดับอุดมศึกษา (enrollment basis) จะเห็นได้ว่าเพิ่มขึ้นจากระดับเพียง 15,000 คน ในปี 1961 เป็น 100,000 คน ในปี 1972(จากมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนรวมกันทั้งสิ้น 30-40 แห่งทั่วประเทศ) ทำให้คาดว่าในปัจจุบันนี้ จำนวนผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยจะมีไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน) เพิ่มขึ้นจากที่มีเพียง 185,000 คน ในปี 1970 กว่า 10 เท่าตัว
และนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวแทบทุกด้านด้วยอัตราสูงเป็นประวัติการณ์ จนธนาคารโลกจัดให้ไทยเป็นหนึ่งในเอเซียตะวันออกที่มีการขยายตัวและการธำรงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรในสาขาอาชีพต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิศวกร ช่างเทคนิค นักการเงินและผู้บริหารระดับกลางได้กลายเป็นทรัพยากรหายากที่เป็นที่ต้องการในตลาดซึ่งจากผลดังกล่าวนี้ ทำให้อำนาจซื้อของชนชั้นกลางเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา
นอกจากกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวจะส่งผลต่อฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชนแล้วยังมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและประชากรด้วย กล่าวคือ เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ (fertility rate) ของประชากรโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา ทำให้อัตราการขยายตัวของประชากรชะลอตัวลง ซึ่งทำให้ประชากรที่มีอายุช่วง 15-34 ปี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีผลทำให้ครอบครัวมีขนาดเล็กลงตามลำดับ ซึ่งจากการศึกษาของนักวิชาการทางด้านประชากรศาสตร์คาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไป โดยมีการคาดการณ์ว่าจำนวนสมาชิกโดยเฉลี่ยของครอบครัวคนไทยจะลดลงไปจากระดับ 5 คน ในปี 1987 เหลือเพียง 3.7 คน เท่านั้น ในปี 2005
การที่สังคมไทยมีแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่สังคม”ครอบครัวเดี่ยว”(nuclear family) เพิ่มขึ้นเช่นนี้ย่อมมีนัยสำคัญอย่างมากต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของครัวเรือน ทั้งนี้เพราะการที่ขนาดของครัวเรือนเล็กลง หมายความว่าจำนวนสมาชิกที่เป็นภาระในครอบครัวย่อมมีจำนวนลดลง ทำให้ผู้หาเลี้ยงครอบครัวมีงบประมาณสำหรับสมาชิกที่เป็นภาระแต่ละคนเพิ่มขึ้น ดังนั้นพฤติกรรมการใช้จ่ายย่อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มุ่งในเชิง”ปริมาณ”เป็นหลักหันมาเน้นในเชิง”คุณภาพ”เพิ่มขึ้น
หากพิจารณาเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ประมาณว่าปัจจุบันมีผู้มีรายได้ที่จัดอยู่ในกลุ่มของคนทำงานสำนักงาน (white collar) เป็นสัดส่วนถึงประมาณ 1 ใน 3 และถ้าพิจารณาถึงระดับรายได้ครัวเรือนแล้ว จะมีครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจจัดอยู่ในระดับชนชั้นกลางขึ้นไปถึง 54% ด้วยอำนาจซื้ออันมหาศาลดังกล่าวนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอนวีเนี่ยนสโตร์รวมทั้งอาหารแฟรนไชส์ของอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดจากประเทศตะวันตกผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วกรุงเทพฯ ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา
ข้อที่น่าสังเกตก็คือ แม้ว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมดังกล่าวจะยังคงกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นหลัก แต่กระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ดูเหมือนว่ามีแนวโน้มที่จะกระจายตัวออกไปยังตัวเมืองใหญ่ๆ ในเขตภูมิภาคอย่างช้าๆ แล้วด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้หันมาดำเนินนโยบายในด้านการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้มีการย้ายอุตสาหกรรมจากเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไปสู่เขตภูมิภาค (regional industrialization) และก่อให้เกิดการพัฒนาเมืองมากยิ่งขึ้นใน 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนในลักษณะที่เกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในช่วงที่ผ่านมา
เห็นตัวอย่างข้างต้นนี้แล้วไม่ต้องตกใจครับว่าเวลาปฏิบัติจริงๆ จะต้องเขียนออกมาอย่างนี้หรือเปล่า ผู้เขียนเองคาดหวังเพียงว่า ผู้ประกอบการสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนตรงประเด็นว่า สภาพแวดล้อมสำหรับธุรกิจท่านเป็นอย่างไร ท่านทราบได้อย่างไร แม้จะเขียนได้ไม่ดีก็ไม่เป็นไรครับ แต่ต้องให้แน่ใจว่าท่านทราบจริงๆไม่หลอกตัวเอง ในครั้งต่อไปเราจะลองวิเคราะห์ขั้นตอนและวิธีที่จะทำให้ท่านทราบข้อมูลอย่างเพียงพอเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและทราบถึงผลที่จะมีต่อธุรกิจของท่าน